ทุกเดือนมิถุนายนของทุกปีถูกยกให้เป็น Pride Month มีการเดินขบวนพาเหรดและกิจกรรมมากมายเพื่อเฉลิมฉลองความหลากหลายทางเพศและร่วมรำลึกเหตุการณ์ Stonewall Riots จุดเริ่มต้นของการเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมทางเพศ แต่เมื่อพูดถึงความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วมในองค์กร หรือที่รู้จักกันในชื่อ DEI: Diversity, Equity & Inclusion ประเด็นนี้ไม่ได้จำกัดเพียงเรื่องเพศเท่านั้น หากยังครอบคลุมถึงเชื้อชาติ สีผิว ความพิการ และโครงสร้างทางสังคมที่อาจก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำโดยไม่รู้ตัว
บทความนี้ RLC ขอพาไปทำความรู้จักกับวัฒนธรรม DEI ในแง่มุมของการพัฒนาองค์กร ที่ไม่ได้หยุดแค่การยอมรับความแตกต่างทางเพศ แต่ยังเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการยกระดับศักยภาพและสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่ทุกคนรู้สึกมีคุณค่าอย่างแท้จริง
ความหมายของ DEI หรือ Diversity, Equity และ Inclusion ความเท่าเทียมคืออะไร?
เมื่อพูดถึง “ความเท่าเทียมในที่ทำงาน” หลายคนอาจนึกถึงประเด็นเรื่องเพศเป็นลำดับแรก แต่ในความเป็นจริงแล้วแนวคิดเรื่องความหลากหลาย ความเสมอภาค และการมีส่วนร่วม (Diversity, Equity & Inclusion: DEI) ครอบคลุมมากกว่านั้น ซึ่งรวมไปถึงเรื่องโครงสร้างความเหลื่อมล้ำในสังคมที่อยู่ใกล้ตัวเรากว่าที่คิด แม้เราจะไม่ลงลึกถึงทุกมิติในครั้งนี้ แต่ เราจะพาคุณไปทำความเข้าใจภาพรวมของวัฒนธรรม DEI ที่องค์กรยุคใหม่ไม่ควรมองข้าม
- Diversity (ความหลากหลาย) หมายถึง การยอมรับและเคารพความแตกต่างของผู้คนในสังคม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศ อายุ เชื้อชาติ ศาสนา ความพิการ หรือประสบการณ์ชีวิต
- Equity (ความเท่าเทียม) คือ การสร้างความเป็นธรรมโดยเข้าใจว่าคนแต่ละคนมีจุดเริ่มต้นหรือต้นทุนไม่เท่ากัน จึงอาจต้องได้รับการสนับสนุนที่แตกต่างเพื่อให้มีโอกาสเท่าเทียมกัน
- Inclusion (การมีส่วนร่วม) คือ การทำให้ทุกคนรู้สึกมีคุณค่า ได้รับการยอมรับ และสามารถมีส่วนร่วมในองค์กรได้อย่างแท้จริง โดยไม่ถูกกันออกหรือมองข้าม
DEI หรือความเท่าเทียมในที่ทำงาน สำคัญกับองค์กรยุคใหม่อย่างไร?
ในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แนวคิดเรื่องความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วม หรือ DEI ไม่ใช่แค่เรื่องภาพลักษณ์องค์กรอีกต่อไป แต่กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่สะท้อนความสามารถในการปรับตัวขององค์กรสู่อนาคต เพราะความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและแรงงาน ส่งผลให้องค์กรต้องบริหารคนจากหลากหลายพื้นเพ วัฒนธรรม และรูปแบบการใช้ชีวิต ทั้งยังต้องเผชิญกับการแข่งขันเพื่อดึงดูดและรักษาคนเก่งจากทั่วทุกมุมโลก
ในขณะเดียวกันพฤติกรรมผู้บริโภคก็เปลี่ยนไป เห็นได้จากการที่กลุ่มลูกค้ารุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับแบรนด์ที่มีจุดยืนชัดเจนด้านสิทธิมนุษยชน ความหลากหลาย และความเท่าเทียมมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อคนรุ่นใหม่อย่าง Gen Z และ Millennial กลายมาเป็นพลังขับเคลื่อนหลักในตลาดแรงงานและระบบเศรษฐกิจ พวกเขาคาดหวังที่จะทำงานในองค์กรที่ให้คุณค่ากับความหลากหลาย ไม่เลือกปฏิบัติ และเปิดพื้นที่ให้ทุกเสียงได้มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเชื่อมโยงกับความผูกพันของพนักงาน (Employee Engagement) และวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแรง
ดังนั้น การที่องค์กรมีนโยบายสนับสนุนวัฒนธรรม DE&I ที่ส่งเสริมความเท่าเทียมในที่ทำงานไม่เพียงแค่เป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีแต่ยังเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้องค์กรสามารถแข่งขัน สร้างนวัตกรรม และเติบโตอย่างยั่งยืนในโลกยุคใหม่ได้อย่างแท้จริง
ประโยชน์ของการมีวัฒนธรรม DEI ตระหนักเรื่องความเท่าเทียมในที่ทำงาน
การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ยึดถือหลักความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วมนั้น สามารถเห็นประโยชน์ได้อย่างชัดเจน คือ การสร้างความน่าดึงดูด แรงจูงใจและรักษาพนักงานที่มีศักยภาพสูง โดยเฉพาะในยุคที่คนรุ่นใหม่เห็นคุณค่าและให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมที่เปิดกว้าง องค์กรที่แสดงจุดยืนชัดเจนเรื่องความเท่าเทียมในที่ทำงานหรือ DEI มักเป็นที่สนใจของคนเก่ง อีกทั้งยังสามารถลดอัตราการลาออกได้อย่างมีนัยสำคัญ และการมีทีมงานที่มีภูมิหลัง ความคิด และมุมมองที่หลากหลาย ยังช่วยกระตุ้นให้เกิดนวัตกรรมและการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ จากมุมมองที่มากขึ้นทำให้องค์กรสามารถแข่งขันได้ดีในตลาดยุคปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
นอกจากนี้การที่มีนโยบายความเท่าเทียมในที่ทำงาน หรือ DEI ยังมีบทบาทในการเสริมสร้างภาพลักษณ์องค์กรในสายตาลูกค้า คู่ค้า และสังคม แสดงถึงความทันสมัย โปร่งใส และมีความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งกลายเป็นปัจจัยสำคัญต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคในปัจจุบัน ดังนั้นการส่งเสริมวัฒนธรรมความเท่าเทียมในองค์กรจึงไม่ใช่เพียงแค่การสร้างความรู้สึกที่ดีภายในองค์กร แต่คือการวางรากฐานในระบบงาน HR เพื่อความยั่งยืนและความสำเร็จในระยะยาวของธุรกิจอีกด้วย
วิธีเริ่มต้นสร้างวัฒนธรรม DE&I สร้างความเท่าเทียมให้กับองค์กรของคุณ
การสร้างวัฒนธรรม DE&I (Diversity, Equity & Inclusion) ให้เกิดขึ้นจริงในองค์กร ไม่ใช่เพียงแค่การประกาศเจตนารมณ์ แต่ต้องอาศัยกระบวนการที่เป็นระบบ ดังนี้
- เริ่มจากการสำรวจและทำความเข้าใจปัญหาเดิมผ่านการเก็บข้อมูลภายใน เช่น แบบสอบถามพนักงาน การสัมภาษณ์เชิงลึก หรือการวิเคราะห์ช่องว่างของโอกาส เพื่อให้เห็นประเด็นความเหลื่อมล้ำ ความไม่เท่าเทียม หรือพื้นที่ที่พนักงานรู้สึกไม่มีส่วนร่วม
- เมื่อเข้าใจบริบทขององค์กรแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการจัดอบรมและเวิร์กช็อปที่เหมาะสม ซึ่งไม่ใช่การอบรมแบบทั่วไปแต่ต้องสอดคล้องกับปัญหาและเป้าหมายด้านความเท่าเทียมขององค์กร เช่น ความเข้าใจเรื่องอคติในที่ทำงาน การสื่อสารระหว่างรุ่น หรือความหลากหลายทางวัฒนธรรม เพื่อเปิดพื้นที่ให้พนักงานเรียนรู้และปรับเปลี่ยนมุมมองอย่างแท้จริง
- สุดท้ายคือการวัดผลและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ผ่านตัวชี้วัดที่ชัดเจน เช่น ความพึงพอใจในการทำงาน ระดับความรู้สึกมีส่วนร่วม หรืออัตราการรักษาพนักงานหลากหลายกลุ่ม พร้อมเปิดรับข้อเสนอแนะเพื่อนำไปพัฒนานโยบาย Diversity, Equity & Inclusion ให้ตอบโจทย์ได้มากขึ้นในอนาคต
การสร้างวัฒนธรรมที่เปิดกว้างและเท่าเทียมคือความรับผิดชอบร่วมกันของทั้งองค์กรเพื่อสร้างพื้นที่ทำงานที่ทุกคนรู้สึกว่ามีคุณค่าและมีเสียงอย่างเท่าเทียม
องค์ประกอบที่ทำให้วัฒนธรรมความเท่าเทียม DEI เกิดขึ้นได้จริงในองค์กร
ผู้นำควรเป็นแบบอย่างที่ส่งเสริมด้านความเท่าเทียม
การสร้างวัฒนธรรม Diversity, Equity & Inclusion ที่ส่งเสริมค่านิยมด้านความเท่าเทียมให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในองค์กร ต้องเริ่มต้นจากระดับผู้นำเพราะ“ผู้นำต้องเป็นแบบอย่าง” (Leadership Commitment) ที่ชัดเจนทั้งในแนวคิด คำพูด และการกระทำ ตั้งแต่การส่งเสริมความหลากหลายในการสรรหาพนักงาน ไปจนถึงการตัดสินใจที่สะท้อนถึงความยุติธรรมและไม่ลำเอียงสะท้อนแนวคิดความเท่าเทียมในองค์กร ความจริงใจของผู้นำจะเป็นพลังสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับทั้งองค์กร
เสริมสร้างความเท่าเทียมด้วยนโยบายที่ชัดเจนและการมีส่วนร่วม
การมีนโยบายด้านความเท่าเทียมในที่ทำงานที่ชัดเจนโดยไม่เลือกปฏิบัติ องค์กรควรระบุนโยบายหรือข้อปฏิบัตินี้ลงในข้อบังคับหรือคู่มือพนักงานอย่างตรงไปตรงมา เช่น การไม่เลือกปฏิบัติกับผู้อื่นด้วยเหตุผลด้านเพศ เชื้อชาติ ศาสนา ความพิการ หรืออายุ พร้อมทั้งจัดให้มีแนวทางในการจัดการกรณีที่มีการละเมิด เพื่อสร้างความมั่นใจว่าทุกคนจะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม นอกจากนั้นการมีช่องทางการสื่อสารที่ปลอดภัยและฟังเสียงพนักงานอย่างจริงจัง โดยเป้าหมายคือการทำให้พนักงานรู้สึกว่าความเห็นของพวกเขามีความหมาย ได้รับการรับฟังอย่างเท่าเทียมโดยไม่เลือกปฏิบัติ และสามารถมีส่วนร่วมในการพัฒนาวัฒนธรรมองค์กรได้อย่างแท้จริง
การเริ่มต้นเหล่านี้จะเป็นรากฐานสำคัญของวัฒนธรรม DEI ที่แข็งแรง เสริมสร้างค่านิยมความเท่าเทียมในที่ทำงานและเป็นปัจจัยสำคัญที่จะนำพาองค์กรไปสู่ความยั่งยืนทั้งด้านบุคลากร ภาพลักษณ์ และการเติบโตในระยะยาว
การส่งเสริมวัฒนธรรม DEI ความเท่าเทียมในที่ทำงาน ในมุมมองของ HR
ในฐานะ HR Outsourcing ที่ทำงานร่วมกับองค์กรหลากหลาย RLC มีความเห็นว่า DEI (Diversity, Equity & Inclusion) ไม่ใช่เพียงแนวโน้มตามกระแสสังคมแต่เป็นพื้นฐานของวัฒนธรรมการทำงานที่ยั่งยืนที่องค์กรควรให้ความสำคัญ เมื่อองค์กรให้คุณค่ากับความหลากหลายย่อมเปิดโอกาสให้เกิดการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ซึ่งการสร้างวัฒนธรรม DEI ที่ปลูกฝังแนวคิดการยอมรับความหลากหลายและความเท่าเทียมในที่ทำงาน เป็นการส่งผลต่อประสิทธิภาพโดยรวมของพนักงานได้อย่างยอดเยี่ยม ช่วยกระตุ้นนวัตกรรม และสร้างแรงจูงใจในการทำงานอย่างชัดเจน RLC มองว่าองค์กรที่ให้ความสำคัญกับความเท่าเทียม ความหลากหลาย และการมีส่วนร่วมของพนักงาน คือองค์กรที่สร้างคุณค่าระยะยาวได้อย่างแท้จริง
สรุป
DEI ไม่ใช่แค่เรื่องภาพลักษณ์ แต่ความเท่าเทียมในองค์กรคือรากฐานของการเติบโตอย่างยั่งยืน
การส่งเสริมค่านิยม DEI สร้างความตระหนักในเรื่องความเท่าเทียมในที่ทำงานนั้นไม่ใช่แค่เรื่องภาพลักษณ์หรือกิจกรรมที่ทำตามกระแสเฉพาะช่วงเวลา แต่เป็นแนวทางที่วางรากฐานให้องค์กรเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านการยอมรับความหลากหลาย เคารพในศักดิ์ศรีของทุกคน และเปิดโอกาสให้ทุกเสียงมีความหมาย องค์กรที่ให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมจึงไม่เพียงสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดีเท่านั้น แต่ยังสร้างวัฒนธรรมที่หล่อเลี้ยงนวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์ และความผูกพันในระยะยาวได้อย่างแท้จริง
RLC พร้อมเป็นพาร์ตเนอร์ด้านทรัพยากรบุคคล ที่ช่วยให้องค์กรของคุณเป็นมากกว่าที่ทำงานทั่วไป แต่เป็นพื้นที่ที่ทุกคนรู้สึก “มีตัวตน” และเติบโตไปด้วยกันอย่างเท่าเทียม
Marketing สาวที่ถูกแมวส้มเก็บมาเลี้ยง