fbpx

5 ข้อควรรู้ก่อนยื่นภาษีปี 2568 (ยื่นของปี 2567) มือใหม่ต้องอ่าน!

รูปภาพประกอบบทความ 5 ข้อควรรู้ ก่อนยื่นภาษี
บทความที่เกี่ยวข้อง: บุคคลธรรมดารายได้เท่าไหร่ต้องเสียภาษี? แชร์วิธีคำนวณภาษีพร้อมตัวอย่าง

การยื่นภาษี

        ปี 2568 ผ่านเดือนแรกไปแล้ว เชื่อว่าหลาย ๆ คนก็กำลังกลับมาเริ่มทำงานกันอย่างหนักหน่วงแล้ว แต่งานยุ่งแค่ไหนก็ไม่ควรลืมที่จะยื่นภาษีกันด้วยนะคะ วันนี้ RLC จึงอยากขอย้ำเตือนอีกครั้งสำหรับหน้าที่ของพลเมืองที่ดี ด้วยข้อมูลเกี่ยวกับข้อควรรู้ในการยื่นภาษี จากคำถามที่มือใหม่ส่วนใหญ่สงสัย มาให้ทุกคนได้อ่านกันค่ะ

1.ต้องยื่นภาษีเมื่อไหร่?

        โดยปกติแล้วจะต้องมีการยื่นภาษีในระหว่างวันที่ 1 มกราคมถึง  31 มีนาคม ของทุกปี (สำหรับการยื่นภาษีแบบกระดาษ) และ 8 เมษายน (สำหรับการยื่นแบบออนไลน์) แม้ว่ารายได้ต่อปีจะไม่ถึงเกณฑ์การเสียภาษีก็ตามก็ต้องมีการยื่นแบบภาษีเพื่อแสดงรายได้ของเรา สำหรับบุคคลธรรมดาจะมีการยื่นภาษีปีละ 1 ครั้ง ในกรณีที่มีรายได้จากเงินเดือนเพียงอย่างเดียว ก็ให้เลือกเป็นการยื่นภาษีโดยใช้แบบฟอร์ม ภ.ง.ด. 91 แต่ถ้าหากมีรายได้จากแหล่งอื่น ๆ (เช่น เป็นพนักงานออฟฟิศที่มีอาชีพเสริมขายสินค้าออนไลน์) ร่วมด้วยก็จะต้องใช้แบบฟอร์มการยื่นภาษี ภ.ง.ด. 90

2.ต้องยื่นภาษีที่ไหน?

  • สามารถยื่นภาษีได้ที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาใกล้บ้านได้ทุกแห่ง
  • สำหรับผู้ที่เสียภาษีเงินได้ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในกรุงเทพฯ สามารถยื่นภาษีโดยไปรษณีย์ลงทะเบียน พร้อมแนบเช็คได้ทุกประเภท หรือดราฟต์ที่ลงวันที่ในวันยื่นภาษี หรือไม่เกิน 7 วัน
  • สามารถยื่นได้ผ่านช่องทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ของกรมสรรพากร ที่ https://efiling.rd.go.th/rd-efiling-web/login ถ้ายังไม่เคยยื่น Online สามารถทำการสมัครสมาชิก ได้เลย หรือยื่นผ่าน RD smart tax Application ทางโทรศัพทมือถือ โดยสามารถยื่นได้ภายในวันที่ 1 มกราคม 2568ได้ถึง 8 เมษายน 2568
รูปภาพแสดงคำถาม ไม่ยื่นภาษี มีความผิดหรือเปล่า?
RLC Banner_Payroll

3.ไม่ยื่นภาษีได้ไหม มีความผิดหรือไม่?

สำหรับกรณีที่ไม่ยื่นภาษีแล้วไม่มีความผิด ก็จะมีดังนี้

  • ผู้ที่มีสถานภาพโสดและมีรายได้มาจากเงินเดือนเพียงทางเดียวตลอดทั้งปี ไม่เกิน 120,000 บาท (เฉลี่ยเดือนละไม่เกิน 10,000 บาท) รวมไปถึงมีรายได้จากทางอื่นที่ไม่ใช่เงินเดือนไม่เกิน 60,000 บาท ต่อปี (เฉลี่ยเดือนละไม่เกิน 5,000 บาท)
  • ผู้มีสถานะสมรสตามกฎหมาย และทั้งคู่มีเงินเดือนตลอดทั้งปีรวมกันไม่เกิน 220,000 บาท (เฉลี่ยเดือนละไม่เกิน 18,333 บาท) หากไม่มีค่าจ้างหรือว่าเงินเดือนแต่มีรายได้จากทางอื่นตลอดทั้งปีไม่เกิน 120,000 บาท (เฉลี่ยเดือนละไม่เกิน 10,000 บาท) จะไม่ยื่นภาษีก็ได้
  • กรณีรายได้จากดอกเบี้ยต่าง ๆ เงินปันผล การขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นมรดกหรือมีผู้ให้มา กำไรจากการขายตราสารหนี้ สามารถปล่อยให้ภาษีที่ถูกหักณที่จ่ายเป็นภาษีสุดท้ายได้เลย

ทั้งนี้ถึงแม้จะมีเงินได้ต่อปีไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องจ่ายภาษี แต่ก็ควรที่จะทำการยื่นแบบภาษีให้ถูกต้องจะเป็นการดีที่สุด

ในกรณีที่ต้องมีการเสียภาษีแต่ไม่ทำการชำระให้ถูกต้องจะมีความผิดอย่างไรบ้าง?

  • หากไม่ชำระภาษีภายในกำหนดเวลา ต้องเสียเงินเพิ่มร้อยละ 1.5 ต่อเดือนของเงินภาษีที่ต้องชำระนับตั้งแต่วันพ้นกำหนดเวลาการยื่นรายการจนถึงวันชำระภาษี (นับเศษของเดือนเป็น 1 เดือน เช่น

ยื่นกระดาษต้องชำระภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป ถ้ายื่น online ต้องชำระภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป ถ้าเกินวันที่กำหนดจะนับเป็น 1 เดือน)

  • ในกรณีที่ถูกเจ้าพนักงานตรวจสอบออกหมายเรียก แต่ไม่ได้ทำการยื่นแบบแสดงรายการ หรือยื่นแบบแสดงรายการภาษีแล้วแต่ชำระภาษีขาด ชำระภาษีต่ำกว่ายอดที่ต้องจ่าย นอกจากจะต้องรับผิดแล้วทำการชำระเงินเพิ่ม ก็ยังจะต้องเสียเบี้ยปรับอีก 1 หรือ 2 เท่าของภาษีที่ต้องชำระแล้วแต่กรณี
  • ถ้าหากไม่ยื่นแบบแสดงรายการ ภ.ง.ด. 90, 91 หรือ 94 ในระยะเวลาที่กำหนด จะต้องระวางโทษปรับทางอาญาไม่เกิน 2,000 บาท  ตามมาตรา 35 แห่งประมวลรัษฎากร (ในทางปฏิบัติสามารถขอลดค่าปรับได้ ซึ่งจะอยู่ที่ประมาณ 200 บาท)
  •  ในกรณีที่จงใจแจ้งข้อความหรือแสดงหลักฐานเท็จ หรือตั้งใจทำการฉ้อโกงเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร มีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือน – 7 ปี และปรับตั้งแต่ 2,000 – 200,000 บาท
  • ในกรณีเจตนาละเลยไม่ทำการยื่นแบบแสดงรายการเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษี มีโทษปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ

4.ลดหย่อนภาษีจากอะไรได้บ้าง?

       แม้หน้าที่ของบุคคลธรรมดาที่มีรายได้ถึงเกณฑ์คือ ต้องเสียภาษี แต่เราก็สามารถลดหย่อนค่าใช้จ่ายภาษีได้จากกรณีต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าลดหย่อนส่วนตัว ค่าลดหย่อนคู่สมรสที่ไม่มีรายได้ ค่าอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา ผู้พิการหรือทุพพลภาพ ค่าเบี้ยประกันชีวิต เงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เงินสมทบประกันสังคม ค่าเบี้ยประกันสุขภาพ เงินบริจาค หรือแม้แต่การลดหย่อนตามมาตรการภาษีกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐในปีนี้ เช่น โครงการ Easy-E receipt 67  ซึ่งโครงการนี้ให้หักลดหย่อนค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ในประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 ได้สูงสุด 50,000 บาท เป็นต้น สำหรับรายละเอียดของการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสามารถอ่านได้จากเว็บไซต์ของกรมสรรพากร https://www.rd.go.th/557.html

รูปภาพประกอบแสดงรายการลดหย่อนภาษี ปี 2567

ที่มาภาพ: กรมสรรพากร (2568)

5. ชำระภาษีผ่านช่องทางไหนได้บ้าง?

หลังจากการยื่นแบบภาษีเรียบร้อยแล้ว ผู้ที่มีเงินได้สุทธิถึงขั้นที่ต้องมีการชำระภาษีก็มีหน้าที่ที่จะต้องชำระภาษีภายในวันและเวลาที่กำหนด โดยสามารถชำระผ่านช่องทางดังต่อไปนี้

  1. สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา (เขต/อำเภอ) ในพื้นที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่
  2. ธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทยที่เข้าร่วมโครงการ
  3. ช่องทางอื่น ๆ เช่น เคาน์เตอร์เซอร์วิส (7-eleven), ที่ทำการไปรษณีย์, ทรูมันนี่, easyBills, Shopee

สำหรับวิธีการชำระภาษีก็มีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น เงินสด,เช็ค, ธนาณัติ, ชุดชำระเงิน (Pay in Slip) หรือด้วย QR Code & Barcode เช่น ATM, Moblie Banking หรือ Tax Smart Card และอื่น ๆ ขอแนะนำให้ตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับช่องทางและวิธีการชำระเงินที่ https://efiling.rd.go.th/rd-cms/bank#time ทุกครั้งเมื่อต้องมีการยื่นแบบและชำระภาษี เพื่อให้ทราบถึงข่าวสารการเปลี่ยนแปลงนโยบาย รูปแบบการชำระและค่าธรรมเนียมในช่องทางต่าง ๆ จะดีที่สุดค่ะ

รูปภาพประกอบแสดงหน้าเว็บไซต์ E-FILLING กรมสรรพากร (2568)

ที่มาภาพ: หน้าเว็บไซต์ E-FILLING กรมสรรพากร (2568)

สรุป การเสียภาษี vs การลดหย่อน คุ้มหรือไม่

โดยสรุปแล้วการเสียภาษีโดยที่ไม่ต้องหาตัวเลือกเพื่อช่วยลดหย่อน เมื่อเทียบกับการทำตามเงื่อนไขต่าง ๆ ของกรมสรรพากรเพื่อลดหย่อนภาษี แล้วแบบไหนจะคุ้มกว่ากัน ทั้งนี้เพื่อน ๆ ก็ต้องดูจากเงินได้และสถานภาพของตนเองเป็นหลัก เพราะการจะได้เงินภาษีคืนมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับจำนวนรายได้และอัตราภาษีที่ต้องจ่ายของแต่ละคน แต่ถ้าไม่แน่ใจว่าตนเองมีรายได้เท่านี้แล้วจะเสียภาษีในอัตราเท่าไหร่ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ในบทความ รายได้เท่าไหร่ต้องเสียภาษีปี 2567? วิธีคำนวณภาษีพร้อมตัวอย่าง หลังจากรู้ในส่วนนี้แล้ว เราก็จะพอคำนวณได้คร่าว ๆ แล้วว่าจะได้รับภาษีคืนหรือไม่ ถ้าหากเป็นคนโสดมีฐานเงินเดือนอยู่ในช่วงที่จ่ายภาษีไม่มาก ก็อาจจะไม่ต้องหาตัวช่วยเพื่อลดหย่อนภาษีเพิ่มก็ได้ค่ะ เพราะนั่นก็คือการเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายในแต่ละปีด้วยเหมือนกัน ซึ่งอาจไม่คุ้มกับเงินภาษีที่ได้ลดหย่อน แต่ในกรณีที่มีอายุมากขึ้น มีเงินได้มากขึ้น มีอัตราการจ่ายภาษีที่เพิ่มมากขึ้น การเลือกใช้ตัวช่วยในการลดหย่อนภาษีก็ดูจะเป็นเรื่องที่คุ้มค่า เพราะนอกจากนี้ก็ยังมีค่าลดหย่อนภาษีซึ่งเป็นสิทธิประโยชน์ที่กฎหมายมอบให้เพิ่มเข้ามาอยู่แล้ว เช่น การลดหย่อนภาษีคู่สมรส บุตร บิดามารดา เบี้ยประกันชีวิต กองทุนต่าง ๆ เป็นต้น ดังนั้น การศึกษาเรื่องการยื่นภาษีและชำระภาษีอย่างละเอียดก็จะช่วยให้เราสามารถเข้าใจและยังเป็นประโยชน์อย่างมากในการจัดการเรื่องการเสียภาษีเงินได้ของเราได้อย่างถูกต้องค่ะ

Leave a Reply

Your email address will not be published.