ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดระยะเวลาเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง พ.ศ. 2567 และ กฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง พ.ศ. 2567 มาตรา 2 กำหนดให้นายจ้างที่มีพนักงานตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปจะต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของ “กองทุนเงินสงเคราะห์ลูกจ้าง” ต้องส่งเงินสมทบเริ่มต้นที่ 0.25% ของค่าจ้าง (ปี 2568 – 2573) และเพิ่มเป็น 0.5% ตั้งแต่ปี 2573 ซึ่งเป็นมาตรการใหม่ที่รัฐบาลไทยได้ประกาศใช้เพื่อสร้างหลักประกันทางการเงินให้แก่ลูกจ้างในประเทศไทย
กองทุนนี้มีวัตถุประสงค์หลักในการสร้างความมั่นคงทางการเงินให้แก่ลูกจ้างในกรณีที่ต้องออกจากงานหรือประสบเหตุฉุกเฉิน โดยนายจ้างจะต้องดำเนินการหักเงินสะสมจากเงินเดือนของพนักงานและจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนตามอัตราที่กำหนด
ทำไมต้องเก็บกองทุนเงินสงเคราะห์ลูกจ้าง?
- เป็นหลักประกันทางการเงินสำหรับลูกจ้างเมื่อออกจากงานหรือเสียชีวิต
- ให้ความช่วยเหลือแก่ลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างโดยไม่ได้รับค่าชดเชย
- ส่งเสริมการออมระยะยาวของแรงงาน
- เสริมสร้างระบบคุ้มครองทางสังคมและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
การบังคับใช้กองทุนเงินสงเคราะห์ลูกจ้าง
กฎหมายกำหนดให้นายจ้างที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปต้องเข้าร่วมกองทุนและนำส่งเงินสะสมและเงินสมทบเป็นประจำทุกเดือน อย่างไรก็ตาม มีข้อยกเว้นสำหรับนายจ้างที่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือระบบสวัสดิการที่เทียบเท่า ทั้งนี้ ลูกจ้างที่ไม่อยู่ในข่ายบังคับสามารถสมัครใจเข้าร่วมกองทุนได้โดยได้รับความยินยอมจากนายจ้าง
การเตรียมความพร้อมสำหรับนายจ้างเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดของกฎหมายได้อย่างถูกต้องและลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ นายจ้างควรศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการนำส่งเงิน อัตราการจ่ายเงินสมทบ และแนวทางปฏิบัติที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการบังคับใช้กฎหมายในอนาคตอันใกล้
การจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบ กองทุนเงินสงเคราะห์ลูกจ้าง
ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 นายจ้างที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปจะต้องดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบเข้ากองทุนเงินสงเคราะห์ลูกจ้าง โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้:
ตัวอย่างการคำนวณเงินสบทบ
- การคำนวณเงินสะสมและเงินสมทบ:
สำหรับพนักงานเงินเดือน 12,000 บาท: นายจ้างจะหักเงินสะสม 30 บาท และจ่ายเงินสมทบ 30 บาท รวมเป็น 60 บาทต่อเดือน - สำหรับพนักงานรายวัน ค่าจ้าง 400 บาท/วัน ทำงาน 26 วัน/เดือน: นายจ้างจะหักเงินสะสม 26 บาท และจ่ายเงินสมทบ 26 บาท รวมเป็น 52 บาทต่อเดือน
วิธีการนำส่งเงินสมทบกองทุนเงินสงเคราะห์ลูกจ้าง สำหรับนายจ้าง:
นายจ้างมีหน้าที่นำส่งเงินสะสมและเงินสมทบให้แก่สำนักงานกองทุนเงินสงเคราะห์ลูกจ้างภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป โดยมีขั้นตอนดังนี้:
- การคำนวณเงินสะสมและเงินสมทบ:
• หักเงินสะสมจากค่าจ้างพนักงานทุกงวดการจ่ายเงินเดือน
• คำนวณเงินสมทบที่นายจ้างต้องจ่าย (เท่ากับจำนวนเงินสะสมของลูกจ้าง) - การยื่นแบบแสดงรายการและนำส่งเงิน:
• ยื่นแบบ สกล.3 หรือแบบที่กำหนด ผ่านสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดหรือกรุงเทพมหานคร
• ระบุรายชื่อพนักงาน จำนวนเงินสะสม เงินสมทบ และยอดรวมที่ต้องนำส่ง - การชำระเงินเข้ากองทุน:
• นำส่งเงินเข้าบัญชีกองทุนเงินสงเคราะห์ลูกจ้างผ่านธนาคารหรือช่องทางที่กำหนด
• เก็บหลักฐานการชำระเงินและสำเนาการยื่นแบบเพื่อเป็นหลักฐาน - การรับหนังสือรับรองการนำส่ง:
• เมื่อดำเนินการนำส่งเรียบร้อยแล้ว กองทุนจะออกเอกสารยืนยันเพื่อใช้ในการตรวจสอบย้อนหลัง
สิทธิของลูกจ้างและการขอรับเงินสะสมและเงินสมทบคืน
ลูกจ้างที่เป็นสมาชิกกองทุนเงินสงเคราะห์ลูกจ้างมีสิทธิขอรับเงินสะสมและเงินสมทบคืนตามเงื่อนไขที่กำหนดในกฎหมาย โดยสามารถยื่นคำร้องขอรับเงินได้ในกรณีดังต่อไปนี้:
กรณีที่สามารถขอรับเงินสะสมและเงินสมทบคืน:
- เมื่อลูกจ้างออกจากงาน (รวมถึงกรณีลาออก เกษียณอายุ นายจ้างเลิกจ้าง หรือสิ้นสุดสัญญาจ้าง)
- เมื่อลูกจ้างเสียชีวิต (ทายาทที่มีสิทธิจะได้รับเงินสะสมและเงินสมทบคืนพร้อมดอกผล)
- กรณีอื่น ๆ ตามที่คณะกรรมการกองทุนกำหนด
ความแตกต่างระหว่างกองทุนเงินสงเคราะห์ลูกจ้างกับกองทุนอื่น ๆ
สรุป
กองทุนเงินสงเคราะห์ลูกจ้างจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 โดยกำหนดให้นายจ้างที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปต้องเข้าร่วมโครงการ ทั้งนี้เพื่อสร้างหลักประกันทางการเงินให้แก่ลูกจ้างเมื่อลาออก เกษียณ หรือเสียชีวิต
หน้าที่ของนายจ้าง:
- ขึ้นทะเบียนกองทุนและแจ้งรายชื่อลูกจ้างให้ถูกต้องครบถ้วน
- หักเงินสะสมจากลูกจ้างและจ่ายเงินสมทบในอัตราเริ่มต้น 0.25% ของค่าจ้าง (จะเพิ่มเป็น 0.5% ในปี 2573)
- นำส่งเงินภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
- ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดเพื่อหลีกเลี่ยงบทลงโทษทางแพ่งและอาญา
สิทธิของลูกจ้าง:
- ได้รับเงินคืนเมื่อลาออก เกษียณ หรือเสียชีวิต (ทายาทมีสิทธิรับแทนในกรณีเสียชีวิต)
- สามารถยื่นคำร้องขอรับเงินที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
- มีสิทธิตรวจสอบการนำส่งเงินของนายจ้าง
กองทุนเงินสงเคราะห์ลูกจ้าง ถือเป็นมาตรการสำคัญในการเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินให้แก่ลูกจ้างในไทย ทั้งนายจ้างและลูกจ้างจึงควรเตรียมความพร้อมเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อทุกฝ่าย
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับกองทุนเงินสงเคราะห์ลูกจ้าง
Q: กองทุนเงินสงเคราะห์ลูกจ้างคืออะไร?
A: กองทุนเงินสงเคราะห์ลูกจ้างเป็นกองทุนที่จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นหลักประกันให้ลูกจ้างได้รับเงินสะสมคืนเมื่อลาออก เกษียณ หรือในกรณีเสียชีวิต โดยนายจ้างและลูกจ้างต้องร่วมกันจ่ายเงินสะสมและเงินสมทบเข้ากองทุน
Q: ใครต้องเข้าร่วมกองทุนนี้บ้าง?
A: นายจ้างที่มีลูกจ้าง 10 คนขึ้นไป ต้องเข้าร่วมโดยอัตโนมัติ หากมีลูกจ้างน้อยกว่า 10 คน ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วม เว้นแต่จะมีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้บังคับใช้
Q: ลูกจ้างต้องจ่ายเงินเข้ากองทุนเท่าไหร่?
A: ลูกจ้างต้องจ่ายเงินสะสม 0.25% ของค่าจ้าง ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2568 และเพิ่มเป็น 0.5% ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2573 โดยนายจ้างต้องสมทบในอัตราเดียวกัน
Q: นายจ้างต้องนำส่งเงินสะสมและเงินสมทบเมื่อไหร่?
A: นายจ้างต้องนำส่งเงินสะสมและเงินสมทบ ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป ผ่านช่องทางที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกำหนด
Q: ถ้านายจ้างไม่นำส่งเงินจะเกิดอะไรขึ้น?
A: หากไม่นำส่งเงินตามกำหนด จะถูกปรับ 5% ต่อเดือน ของเงินที่ยังไม่นำส่ง และหากยังไม่ดำเนินการอาจถูกลงโทษทางแพ่งและอาญา
Q: ลูกจ้างจะได้รับเงินคืนเมื่อไหร่?
A: ลูกจ้างสามารถขอรับเงินคืนได้เมื่อ
- ลาออกจากงาน
- เกษียณอายุ
- ถูกเลิกจ้าง
- เสียชีวิต (โดยทายาทสามารถยื่นขอรับเงินแทนได้)
Q: วิธีการขอรับเงินสะสมและเงินสมทบคืนทำอย่างไร?
A: ลูกจ้างหรือทายาทสามารถยื่นคำขอรับเงินที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน พร้อมเอกสารที่จำเป็น เช่น หนังสือรับรองการออกจากงาน มรณบัตร (กรณีทายาทขอรับแทน) และสำเนาบัตรประชาชน
Q: กองทุนเงินสงเคราะห์ลูกจ้างต่างจากกองทุนประกันสังคมอย่างไร?
A: กองทุนเงินสงเคราะห์ลูกจ้าง → ให้เงินคืนเมื่อออกจากงานหรือเสียชีวิต
กองทุนประกันสังคม → คุ้มครองกรณีเจ็บป่วย ว่างงาน ทุพพลภาพ คลอดบุตร และบำนาญชราภาพQ: บริษัทที่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) ต้องเข้าร่วมกองทุนนี้หรือไม่?
A: หากนายจ้างมี กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และจัดให้ลูกจ้างทุกคนเป็นสมาชิก นายจ้างอาจได้รับการยกเว้นจากการเข้าร่วมกองทุนนี้
SEO Specialist and Client Success at RLC Outsourcing